10 ขั้นตอน ทำ SEO เพื่อติดหน้าแรก

เทคนิคการติดหน้าแรก Google ช่วงหลังปี 2020 สรุปสั้นๆ คือ “พยายามทำให้คอนเทนต์ควรติดหน้าแรก” ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งทำลิงก์มากมายที่เสี่ยงติด Google Penalty ภายหลัง ซึ่งโดนกันถี่ขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ตามความฉลาดของเซิร์จเอนจิ้น

แต่ถึงทำแบบนั้น โอกาสติดหน้าแรกก็ยาก ย้อนมาดู 3 เรื่องที่ผมพูดถึงบ่อยๆ

  1. ปรับปรุงหัวข้อบทความ ให้เด่นสะดุดตาในการค้นหา
  2. แชร์บทความลงโซเชียลมีเดียต่างๆ
  3. เผยแพร่บทความที่ยอดเยี่ยมของคุณ

ทั้ง 3 ข้อยังคงใช้ได้ในปัจจุบัน และเป็นสายขาวแบบ Modern SEO แท้ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรเยอะ และได้ผลจริง ทำให้การเขียนบล็อกนิยมมากขึ้นในไทย

แต่ … ติดปัญหานิดเดียว คือ คนอื่นก็คิดเหมือนกันและอาจได้เปรียบคุณ เช่น

  • เขียนในแบรนด์ใหญ่ที่คนรู้จักดี ทำให้อัตราการการเข้าไปอ่านสูงกว่าเว็บคุณ
  • เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเขียน ดูน่าเชื่อถือกว่า
  • เว็บทำมาก่อนหลายปี จึงมีคอนเทนต์คล้ายๆ กันจำนวนมาก

คำถาม คือ จะแข่งกับเว็บไซต์เหล่านั้น เพื่อติดหน้าแรกได้อย่างไร ? แค่ “เขียนดี” ไม่พอหรอกครับ

10 ขั้นตอน การไต่อันดับ

ดัดแปลจากคลิป The 8-Step SEO Strategy for Higher Rankings ซึ่งนำไปใช้ได้จริง

1. หาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม Keyword Opportunity

Zero-Click Searches

Google มีการปรับเปลี่ยนการค้นหาเสมอ นอกจากโฆษณา Google Ads ยังมี วิดีโอ, FAQ และ Snippet Feature ที่น่าจะได้เห็นมากขึ้นในไทย

จากการสำรวจข้อมูลในปีที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่กดลิงค์เหล่านี้แทน Organic ทั่วไป จนทำให้กังวลว่าจะเจอปัญหานี้มากขึ้น รู้จักกันในชื่อของ “Zero-Click Searches”

แต่ถ้าคุณใช้ Google ทุกวัน สังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีแต่คีย์เวิร์ดที่นิยมมากๆ เท่านั้น พวกคีย์เวิร์ดทั่วไปยังคงไม่มีหน้า FAQ มากวนใจ เพราะ ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกนานกว่าจะทำครบทุกคีย์เวิร์ด รวมถึงพวกคำค้นหาใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน จึงยังมีคีย์เวิร์ดที่เป็น “โอกาส” ให้คนเข้ามาเว็บไซต์ได้

Keyword Opportunity คือ คีย์เวิร์ดที่มีคนสนใจมาก แต่คู่แข่งกลับไม่สูง และไม่ค่อยมีคนลงโฆษณา จะช่วยเพิ่มโอกาสที่คนกดบทความคุณมากขึ้น

การค้นหาอาจลองหาคีย์เวิร์ดที่มี CTR สูงๆ ในเว็บคุณ หรือ ถ้าไม่ค่อยมีคนเข้าเว็บมากนักก็ลองหาเครื่องมือช่วย อย่างพวก Ubersuggest

2. เช็คคอนเทนต์คู่แข่ง

10 ขั้นตอน ทำ SEO เพื่อติดหน้าแรก 1
คอนเทนต์สั้นๆ ก็ติดอันดับต้นๆ ได้

ถึงได้คีย์เวิร์ดมาแล้ว ลองเอาคีย์เวิร์ดพิมพ์ใส่ Google เช็คว่าพบอะไรในหน้าแรกบ้าง

  • พบอะไรน่าสังเกต เอาไปประยุกต์ใช้ได้บ้าง เทรนด์อะไรกำลังมา
  • คอนเทนต์ไหนที่น่าจะมีคนกด และมีคู่แข่งหรือไม่ ?
  • ลองเข้าไปสำรวจว่าพวกหน้าแรกของ SERP เขียนอะไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร เพื่อนำไปใช้กับสิ่งที่เราจะเขียน

3. สร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างหรือเหนือกว่า

ได้คีย์เวิร์ดและส่องดูเว็บไซต์คู่แข่ง เตรียมเลือกสิ่งที่จะเขียนต่อ

มีสองทางเลือก คือ ทำเนื้อหาให้มีความแตกต่าง หรือ เหมือนกันแต่ดีกว่า ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิด

แตกต่าง ยกตัวอย่าง คอนเทนต์ประเภท x วิธี จะพบได้บ่อยและกดได้ง่าย แต่หลายคอนเทนต์ใช้ไม่ได้จริง หรือ เพิ่มข้อมูลมามั่วๆ ซึ่งแน่นอนว่าทำให้หลายคนเซ็ง คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่คนเหล่านี้ต้องการได้โดยอาจใส่คีย์เวิร์ดที่กระตุ้นความรู้สึก เช่น ทำได้จริง, จากประสบการณ์, โดยผู้เชี่ยวชาญ จะทำให้มีคนกดเข้ามาอ่านได้

เหนือกว่า พวก x ข้อ อาจฟังดูน่าเบื่อ ดูไม่แตกต่าง ลองหาหัวข้อที่ทำให้สะดุดตาแทน

4. ล่อให้คนเอา Link ไปลง

เป็นการสร้าง Backlinks แบบธรรมชาติ ถือว่าเป็นขั้นที่ยาก ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่เขียนไม่สร้างความประทับใจให้คนอื่น ก็ข้ามข้อนี้ไปครับ

ถึงคนไทยส่วนใหญ่จะเล่น Facebook, IG จนลืมบอร์ดไปแล้ว แต่ยังมีไม่น้อยที่พูดคุยผ่านเว็บบอร์ด หรือเขียนบล็อกส่วนที่มี Link กลับมาที่เว็บ

ลองคิดเหตุผลที่คนจะเอาลิงก์ของคุณไปแปะ ถ้ามีอะไรที่ใช้อ้างอิงได้และน่าเชื่อถือได้ก็จะมีคนนำไปใช้ได้ เช่น แปลบทความจากต่างประเทศ ถึงสถิติงานวิจัยที่มีตัวเลขชัดเจน จะมีโอกาสถูกนำไปอ้างถึง รวมถึงพวกเรื่องจากประสบการณ์จริงที่ลอกเลียนแบบกันไม่ได้

อย่าลืม คิดถึงกลุ่มที่น่าเอาลิงก์คุณไปใช้ ถ้าเป็นกลุ่มเฉพาะอาจมีโอกาสแชร์สูง เช่น ถ้าคุณจะเขียนเรื่อง “10 ภาพดาราที่อกเน่าเพราะเสริมหน้าอก” อาจได้นำไปลงพวกบอร์ดเสริมสวย หรือ บล็อกความงาม หรือ “20 สิ่งของที่นิยมให้กับคนรักในวันปีใหม่” ก็จะมีโอกาสนำไปแชร์ในช่วงปีใหม่ทุกปี

ถึงจะไม่ได้เป็น Backlink อย่างที่หวัง กลายเป็นลิงก์แบบ No Follow แต่การนำไปแชร์ให้คนอื่นดู คนที่กดเข้าเว็บ อาจกลายเป็นลูกค้า หรือ แฟนประจำของคุณได้เช่นกัน รวมถึงอาจเป็น Brand Awareness ได้อีกทาง

5. ปรับปรุง On-Page SEO

การปรับ On-Page เป็นเรื่องสำคัญมานาน และยังใช้ได้ดี ปรับ URL ให้จำง่ายขึ้น หรือ ทำลิงก์ภายในเว็บ

สำหรับปี 2020 มือถือยังคงมาแรงขึ้นเรื่อยๆ และบทบาทของ Page Speed จะสูงขึ้น ควรปรับให้หน้าเว็บโหลดเร็ว อ่านในมือถือง่าย รูปขนาดเล็กลง ใช้พวก Lazy Load เข้าช่วย จะทำให้โอกาสไต่อันดับสูงกว่าพวกเว็บโบราณที่ไม่มีการอัพเดต หรือติดพวก Ads หน่วงเว็บ ได้

6. สร้างคอนเทนต์เพื่อ Search Intent

ช่วงหลังปี 2015 คอนเทนต์แบบเขียนอัลติเมทไกด์ (Skyscraper Technique) เพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่ง เป็นเทรนด์ที่นิยมมากใน SEO ต่างประเทศ หน้าเดียวจบ ไม่ต้องไปดูเว็บอื่น อันดับยังไงก็สูง

แต่ปัจจุบันอาจเป็นเทคนิคที่ไม่เวิร์ค ถ้าไม่เข้าใจเรื่อง Search Intent ของ Google เขียนยาวอาจไม่ใช่คำตอบ ต้องเป็นคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์การค้นหา

วิธีเช็ค ไม่ยาก ลองทำตามข้อ 2 เช็คหน้าแรกกูเกิ้ลว่ามีคอนเทนต์ประเภทไหนตามคีย์เวิร์ด แล้วลองถามว่าทำไม

ผมลองหาคำว่า “วิธีทำข้าวผัด” ถ้าสังเกต 3 อันดับแรก

  • ไม่มีคีย์ว่า “วิธีทำ” อยู่ใน 2 อันดับแรก (ถึงมีในอันดับ 3 ก็ไม่ใช่ “วิธีทำข้าวผัด”)
  • หัวข้อ น่าดึงดูดสำหรับคนที่อยากทำข้าวผัดสักจาน
  • ถ้ากดเข้าไป คอนเทนต์ก็สั้นๆ แต่น่าอ่านและมีคลิปประกอบ

10 ขั้นตอน ทำ SEO เพื่อติดหน้าแรก 2

7. คำนึงถึง Content Design

10 ขั้นตอน ทำ SEO เพื่อติดหน้าแรก 3

หลายคนยังยึดติดกับ 1 รูป 300 – 1000 คำอยู่ ซึ่งทำให้คนอ่านลายตาจนเลิกอ่าน เกิดอัตราตีกลับที่สูง และเวลาที่อ่านน้อย จนส่งผลกระทบต่ออันดับได้

อันดับดีๆ สมัยนี้ ควรคำนึงถึงดีไซน์และความน่าอ่านของเนื้อหา ซึ่งอาจไม่ต้องดีไซน์ดีมากก็ได้เพราะส่วนใหญ่ก็ใช้มือถือ คำนึงถึงในเนื้อหามากกว่า

  1. ใช้รูปให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล สถานที่ธุรกิจ หรือ ภาพจากประสบการณ์
  2. ทำรูปเปิดให้ดูไม่เหมือนใคร พวกภาพจาก ชัตเตอร์สต็อก หรือ เว็บโหลดภาพฟรี จะดูไม่สะดุดตา
  3. สร้างข้อมูลให้เห็นภาพ เป็นชาร์ต หรือ กราฟ ช่วยให้ดูน่าแชร์มากขึ้น

ทั้งสามข้อเกี่ยวกับรูปหมด ถ้าคุณไม่ใช่สายกราฟิกคงลำบาก อาจใช้ค่าใช้จ่ายบ้าง แต่งานกราฟฟิกสมัยนี้ หาฟรีแลนซ์ทำง่าย พวกรูปอยู่ได้ถาวร ไม่เผาเงินเหมือน Ads หรือ รูปโปรโมชั่นบนโซเชียลที่ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง การทำภาพประกอบบทความดีๆ จึงคุ้มค่าที่จะหาฟรีแลนซ์อยู่

8. สร้าง Backlinks

ใน 7 ขั้นแรก ทำให้คอนเทนต์คุณสมบูรณ์แบบได้ แต่ถ้าดีแล้ว ก็ควรจะกระจายบทความด้วย

ไม่ใช่แค่แชร์ทุกช่องทางบนโซเชียล คุณสามารถติดต่อรายบุคคลได้ โดยเช็คจาก Backlinks ในเว็บเรา หรือ คู่แข่ง

  • ถ้าบทความคุณเคยถูกอ้างถึงในบางบล็อก ลองส่งเมล ไลน์ FB ติดต่อเป็นการส่วนตัว เพื่อแจ้งให้ทราบถึงบทความใหม่
  • ถ้าไม่มีบทความที่เคยถูกอ้างถึงเลย ลองใช้เครื่องมือตรวจข้อมูลเว็บคู่แข่ง (เช่น Ubersuggest หรือ Ahrefs) แล้วลงตามเว็บคู่แข่ง

วิธีนี้ โอกาสแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ที่โดนเรียกเก็บค่าใช้จ่าย แต่ไม่ลอง ก็ไม่รู้ ล่ะครับ บล็อกเกอร์บางคนอาจต้องการพันธมิตรอยู่ก็ได้

9. ไปโพสลิงก์เอง

การไปขอลงลิงก์ อาจเป็นไปได้ยากในไทย โดยเฉพาะแบรนด์เล็กๆ แต่การแนบลิงก์ไว้ที่อื่น ในกลุ่มที่พูดคุยเรื่องที่สนใจ สามารถทำได้ เพื่อให้คนเห็นบทความคุณมากขึ้น

ลองหากลุ่มที่พูดคุยที่สัมพันธ์กับเนื้อหาในเว็บคุณ แล้วเข้าไปเป็นสมาชิก เพื่อหาโอกาสลงลิงก์ แชร์ประสบการณ์ หรือ ข้อมูลดีๆ ถ้าไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงเป็นลิงก์ขายของ ก็ไม่น่าจะโดนแอดมินแบน

ในทางกลับกัน ถ้าคุณเห็นคนถามเรื่องที่น่าสนใจโดยยังไม่ได้คำตอบที่ดี อาจรีบนำไปเขียนเป็นบทความที่ดี แล้วอาจกลับมาโพสที่เดิม แล้วแนบลิงก์อ้างอิงได้เช่นกัน

ในโซเชียล ถึงลิงก์จะเป็นแบบ No Follow หมด หรือ ไม่สามารถลงลิงก์ได้เลยแบบ IG แต่การวาง URL ที่จำง่าย และคอนเทนต์ดีๆ คุณอาจได้แฟนประจำของเว็บคุณเช่นกัน

10. ควรตอบทุก Comment

คอนเทนต์ในบล็อกอาจมีคนถาม ตอบทุกคอมเมนต์เพื่อแสดงความใส่ใจต่อคนที่มาเยี่ยมชมเว็บ ซึ่งถือเป็นตัวแปรเรื่องอันดับได้เช่นกัน

ถึงในบล็อกคุณจะปิดคอมเมนต์ไว้เพื่อกันสแปม แต่ควรตอบทุกคอมเมนต์ในโซเชียลทุกช่องทางที่มีการถาม ถือเป็นการแสดงความสนใจคนที่ถาม

สรุป

ปัจจุบัน SEO เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความตั้งใจสูง ไม่ได้ง่ายแบบยุค 2000 หรือ 2010 ที่เอาลิงก์เยอะๆ ก็ไต่หน้าแรกได้ การทำคอนเทนต์ดี เอาแบบทุ่มเวลาเป็นสัปดาห์สัก 1 คอนเทนต์แต่ทำออกมาแล้วโดนๆ จะช่วยประหยัดค่าโฆษณา SEM และ Facebook ที่แพงขึ้นเป็นเงาตามตัวไปได้มาก

Scroll to Top