Search Engine ลองผิดลองถูกเรื่องการจัดอันดับมาหลายยุคหลายสมัยมาก ทั้ง Backlink ซึ่งบทความที่ดีควรถูกอ้างอิง, CTR เพื่อดูอัตราการคลิกเมื่อเห็นเนื้อหา และ ปัจจัยอีกมากมายที่นำมาใช้เป็นเกณฑ์ชี้วัดตามความฉลาดของ AI จัดอันดับข้อมูล ผ่านไปร่วม 2 ทศวรรษ อาจได้ข้อสรุปว่า คอนเทนต์อันดับต้นๆ ในการค้นหา คือ “คอนเทนต์ที่คนอ่านให้ความสนใจและโอเคกับเนื้อหามากสุด” อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าบทความนั้นจะมีความถูกต้องเสมอ เขียนสนุกๆ ก็ขึ้นหน้าแรกได้ แต่อาจเป็นการขายสินค้าหรือบริการที่หลอกลวงคนอ่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Search Engine หาวิธีแก้ไขมานาน และ E-A-T ดูจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้แก้ปัญหาได้ รวมถึงสกัดพวกสแปมคอนเทนต์จาก AI ด้วย
ความหมายของ E-A-T
E-A-T ย่อมาจากคำว่า Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความมีชื่อเสียง) และ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) ซึ่งเป็นหลักประกันคุณภาพเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องต่าง ๆ เพื่อเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง
ความเชี่ยวชาญ (Expertise)
เนื้อหาที่มีระดับความรู้หรือทักษะในด้านที่เฉพาะเจาะจง เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา
ความมีชื่อเสียง (Authoritativeness)
เพิ่มระดับความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่พูดถึง อ้างอิงบทความ และเว็บไซต์อื่นสามารถนำไปอ้างอิง
ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness)
ความถูกต้อง โปร่งใส เชื่อถือได้ ไม่มีข้อมูลบิดเบือนสำหรับผู้อ่านคอนเทนต์
E-E-A-T คือ อะไร
E-A-T เริ่มถูกพูดถึงในปี 2018 ก่อนจะมีการพูดถึง E-E-A-T (Double E-A-T) ใน ธ.ค. 2022 โดย E อีกตัวมาจากคำว่า Experience (ประสบการณ์)
Double E ความหมายแทบเหมือนกัน แต่เหมือน Google เหมือนต้องการให้เนื้อหามี “ประสบการณ์” เพิ่มเข้ามาจาก “ความเชี่ยวชาญ”
เปรียบเหมือน หมอจบใหม่ มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ แต่ยังขาดประสบการณ์
การเขียนให้ดูมีประสบการณ์มากขึ้น กลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นตามลำดับ
E-A-T ในทาง SEO
ความสำคัญ
ในช่วงปี 2018 E-A-T เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ให้ความสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ การปรับปรุง E-A-T ของเว็บไซต์ของคุณจะทำให้เว็บไซต์ความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือมากขึ้น ส่งผลให้มีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาดีขึ้น
ในปัจจุบัน แม้ทาง Google จะไม่ได้เอามาใช้อย่างจริงจัง แต่ได้รับการยืนยันจากคนในของ Google ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับ รวมถึงคนเริ่มสนใจจากกรณีที่เว็บทางการแพทย์อันดับร่วงในเดือนสิงหาคม 2018 ระดับช้างล้มกันหลายเว็บ โจมตีเว็บปั่น SEO หาเงินประเภท Your Money, Your Life (YMYL) ทำให้คนระแวงการทำเว็บที่ขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้น การปั่น SEO ทำยากขึ้นตามลำดับ
E-A-T ไม่มีคะแนน
บางคนอาจคิดแค่ว่า ทำบทความให้ผ่านเกณฑ์ E-A-T ก็พอ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีคะแนนในส่วนนี้โดยตรง ทาง Search Engine จะตรวจเช็คอย่างลับๆ เพื่อหาความถูกต้องของเนื้อหาและความน่าสนใจ สิ่งที่คุณทำได้จึงมีเพียง “ทำให้ดีที่สุด” เท่านั้น
ยุค AI เพิ่มความสำคัญกับ E-E-A-T
มีแนวโน้มว่า E-E-A-T จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดการสแปมบทความจำนวนมหาศาลบนอินเตอร์เน็ต
- มี E-E / มี A / ขาด T = เชี่ยวชาญ คนอ้างถึง แต่ข้อมูลผิด เป็นลักษณะของบทความบิดเบือนข้อเท็จจริง
- มี E-E / ขาด A / มี T = ข้อมูลดี เชื่อถือได้ แต่กลับไม่มีคนอ้างอิง เป็นลักษณะของบทความปั่นเน้นปริมาณ
- ขาด E-E / มี A / มี T = ข้อมูลถูก คนอ้างถึง แต่ขาดความเชี่ยวชาญ เป็นลักษณะของบทความที่สร้างขึ้นอัตโนมัติ
คาดว่าการมาของ Magi หรือ AI ตัวใหม่ของ Google ในอนาคต น่าจะนำหลัก E-E-A-T มาใช้มากขึ้น
แนวทางปรับปรุง E-A-T สำหรับเว็บไซต์
แม้จะเป็นบทความที่สร้างด้วย AI แต่ก็มีหนทางเพิ่ม E-E-A-T ได้เช่นกัน เพียงแต่อย่าให้น้ำหนักกับเรื่องปริมาณบทความ 5-10+ บทความต่อวันมากเกินไป ลอง Audit และ Optimize ด้วยตัวคุณเองบ้าง
1. ปรับปรุงเนื้อหา
ตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาของเว็บไซต์ให้มีคุณภาพสูง ประกอบไปด้วยข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ ซึ่งทาง Search Engine จะรู้ดีว่าเว็บคุณเชี่ยวชาญในเรื่องไหนและควรดันบทความประเภทใด อาจรวมถึงคนเขียนเนื้อหาในเว็บคุณว่าเด่นในการเขียนเรื่องใด อย่าง ถ้าเก่งเรื่อง วิศวกรรม แต่ไปเขียนบทความผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โอกาสติดอันดับสูงก็จะลดลง หรือติดได้ก็อยู่ไม่นาน
2. สร้างความน่าเชื่อถือ
อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวมถึงการแสดงประวัติของผู้เขียนและความเชี่ยวชาญของเขา มีเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริงและสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งทาง Search Engine จะตรวจสอบความถูกต้องของเว็บไซต์คุณ และอาจจะมีการลดอันดับความน่าเชื่อถือของเว็บในกรณีที่ข้อมูลแตกต่างจากเว็บไซต์อื่นที่น่าเชื่อถือว่า (ซึ่งแน่นอนว่า ไม่บอกเจ้าของเว็บ เพื่อป้องกันไปสร้างเว็บเพิ่ม)
3. สร้างการเชื่อมโยงภายนอก
สร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ เพราะเว็บไซต์ที่ดี ต้องมีทั้งอ้างอิงจากเว็บอื่น และเว็บอื่นนำข้อมูลไปอ้างอิงโดยเฉพาะเว็บที่มีความน่าเชื่อถือสูง (ที่ไม่ใช่ PBN ของคุณ)
4. เพิ่มรีวิว กรณีศึกษา และคำแนะนำ
มีรีวิว กรณีศึกษา และคำแนะนำจากผู้ใช้หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และทำให้คนอ่านเข้าใจคุณมากขึ้น เช่น รีวิวจากลูกค้า ผลงานที่ทำให้ลูกค้า หรือคำนิยมที่ลูกค้ามีต่อบริษัทคุณ ล้วนเพิ่มความน่าเชื่อถือได้
สรุปต้องมี E-A-T หรือ E-E-A-T ไหม
ถ้าสั้นๆ ก็ “ควรจะมี” แต่ก็ขึ้นกับประเภทของเว็บคุณด้วย ถ้าเป็นเว็บแนวเฮฮา ไม่ต้อง Fact Check มาก ก็อาจไม่ต้องมีก็ได้ ถ้าให้แยกประเด็นก็ประมาณนี้
- ถ้าเป็นคอนเทนต์ไม่สำคัญ ไม่ต้อง Fact Check ไม่ต้องมีก็ได้
- แต่จำเป็นสำหรับคอนเทนต์สำคัญ เพื่อใช้ในการไต่อันดับ
- ถ้ามีบทความที่มีความน่าเชื่อถือเยอะในเว็บ ก็อาจเพิ่มโอกาสไต่อันดับในคอนเทนต์ใหม่ได้
เรื่อง E-A-T ดูน่าปวดหัวและพูดได้ยาว
แต่เนื้อหาโดยย่อ คือ ทำให้เว็บคุณดูเป็นมืออาชีพขึ้น (ในเรื่องที่ถนัด) ทั้งในสายตาคนอ่านและ Search Engine
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องพิศดารสำหรับคนอยากทำเว็บหรือบล็อกดีๆ ไม่ได้จะขายและไต่อันดับแบบไม่สนอะไร
ดังนั้น อย่ามองแค่มุมแคบเป็นบทความไม่กี่บทความที่ขายของได้ดี ให้มองภาพกว้างทั้งเว็บ
ยิ่งบทความติดอันดับหลายบทความ ยิ่งมีคนอ้างอิงถึง โอกาสไต่แรงค์สูงขึ้นก็ยิ่งเป็นไปได้มากขึ้น ความน่าเชื่อถือระดับ Domain หรือ Brand จะสูงขึ้น
ปัญหาที่อาจพบ คือ ถึงเว็บคุณจะน่าเชื่อถือแค่ไหน แต่อาจสู้พวกสายตรงไม่ได้ เช่น พวกสินเชื่อและการลงทุนอาจสู้พวกเว็บธนาคารหรือประกันไม่ได้ และเว็บสุขภาพอาจสู้เป็นโรงพยาบาลไม่ได้ ซึ่งก็ต้องหาวิธีประยุกต์กันไป หาคีย์เวิร์ดใกล้เคียงซึ่งมักจะมีหนทางเสมอ ถ้าคุณตั้งใจพอ
FAQ
ตกลง E-E-E-A จำเป็นไหม ?
ตอบให้เข้าใจง่ายๆ คือ จำเป็นต้องมีเพราะเป็นตัวแปรหนึ่งในการจัดอันดับที่อาจสำคัญมากขึ้นในอนาคต แต่ไม่ต้องทุ่มเทมากเกินไปเพราะไม่ใช่ตัวแปรหลักในการจัดอันดับ
PSA: Google uses a mix of factors to help determine content that demonstrates E-E-A-T but E-E-A-T is not a specific ranking factor https://t.co/6lQEsbjryf pic.twitter.com/2XfnDALlzE
— Barry Schwartz (@rustybrick) May 2, 2023
Source: Ahrefs